วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

'Buzz' สังคมออนไลน์ใหม่ของ 'Google'


'Google' แถลงเปิดตัว 'Google Buzz' เว็บไซต์สังคมออนไลน์ใหม่ หวังเขย่าวงการโซเชียลเน็ตเวิร์กกิ้ง เช่นเดียวกับที่ปฏิวัติวงการเสิร์ชเอ็นจิ้นของโลก...

สำนักข่าวบีบีซีรายงานเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ว่า เว็บไซต์เสิร์จเอ็นจิ้นยักษ์ใหญ่ของโลก กูเกิ้ล (Google) ประกาศเปิดตัวเว็บไซต์สังคมออนไลน์ หรือ โซเชียล เน็ตเวิร์กใหม่ ภายใต้ชื่อ "กูเกิ้ลบัซ" ( Google Buzz) เป็นการรวมตัวกันระหว่าง Gmail, Google Maps และ Android เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับแบ่งปันเรื่องราวและข้อมูลส่วนตัวให้กับเพื่อนๆ เช่นเดียวกับ Facebook และ Twitter

นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันสำหรับทำงานบนมือถือ iPhone และ Android ด้วย ซึ่งการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 ก.พ. กูเกิ้ลอ้างว่า Buzz จะเป็นการปฏิวัติโซเชียลเน็ตเวิร์กกิ้ง เช่นเดียวกับครั้งที่บริษัทปฏิวัติวงการเสิร์ชเอ็นจิ้นของโลก ทั้งนี้ Buzz กำลังพยายามดึงจำนวนสมาชิกจากผู้ใช้บริการ Gmail ทั้งสิ้นราว 170 ล้านราย.

อ้างอิงจาก ; http://www.bcoms.net/news/detail.asp?id=10389

'Apple' เปิดตัวซอฟท์แวร์ใหม่ 'Aperture 3'


Apple Inc. เปิดตัวซอฟท์แวร์ใหม่ Aperture 3 ขยายขอบเขตการทำงาน จากเวอร์ชั่นเก่า ช่วยให้ผู้ใชงานโปรแกรม iPhoto สามารถจัดการภาพได้ง่าย และสะดวกมากยิ่งขึ้น...

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ว่า บริษัท Apple Inc. เปิดตัวซอฟท์แวร์ใหม่ Aperture 3 เพื่อขยายขอบเขตการทำงาน จากเวอร์ชั่นเก่า ซึ่งช่วยให้ผู้ใชงานโปรแกรม iPhoto สามารถจัดการภาพได้ง่าย และสะดวกมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามากว่า 200 ฟีเจอร์ อาทิ slideshows ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์งานได้ทั้งไฟล์รูปภาพ เสียง ข้อความ และไฟล์วีดีโอความละเอียดสูงได้พร้อมๆ กัน

โดย Aperture 3 เป็นแอพพลิเคชั่นแบบ 64 บิท สามารถรันได้บนระบบปฏิบัติการ Mac OS X Snow Leopard บนเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ที่ใช้ชิพประมวลผล Core 2 Duo ของ Intel สำหรับสนนราคาสนนอยู่ที่ 199 เหรียญสหรัฐ (ราว 6,600 บาท)

อ้างอิงจาก : http://www.bcoms.net/news/detail.asp?id=10390

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

3 เซียนไอทีผนึกกำลังรุกดาต้าเซ็นเตอร์



ซิสโก้ เน็ตแอพ และวีเอ็มแวร์ร่วมกันพัฒนาสินค้าในแบบ 3 บริษัท 1 ผลิตภัณฑ์ 1 สถาปัตยกรรม ด้วยSecure Multi-Tenancy Design Architecture รุกตลาดดาต้า เซ็นเตอร์ แบบไดนามิกซึ่งเป็นรากฐานของระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง เจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร

Secure Multi-Tenancy Design Architecture เป็นสถาปัตยกรรมการออกแบบครบวงจรที่มีการแยกทรัพยากรไอที เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสำหรับสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ช่วลและระบบคลาวด์ ที่รองรับการใช้งานร่วมกัน โดยผู้ค้าไอทีทั้ง 3 รายได้นำผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเด่นของตนเองมารวบรวมเข้าไว้ด้วยกันประกอบด้วย Cisco Nexus Series และ Cisco Unified Computing System, อุปกรณ์สตอเรจ NetApp FAS พร้อมด้วย MultiStore และ VMware vSphere และ vShield Zones

“สถาปัตยกรรมใหม่นี้เราได้มีการดีไซน์ร่วมกัน ซัปพอร์ตร่วมกัน ให้บริการร่วมกัน ทำให้เราสามารถเจาะตลาดได้ดียิ่งขึ้น” นายมงคล อัศวโกวิทกรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นสูง ซิสโก้ กล่าว

สำหรับสถาปัตยกรรมการออกแบบดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้าองค์กร ผู้ติดตั้งระบบ และผู้ให้บริการสามารถพัฒนาบริการคลาวด์ภายในและภายนอกองค์กรที่มีการแยกโซนสำหรับลูกค้า หน่วยงาน แผนก หรือโซนความปลอดภัยบนเลเยอร์ของระบบประมวลผล เครือข่าย สตอเรจ และการบริหารจัดการภายในโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจร สถาปัตยกรรมที่ทั้ง 3บริษัทร่วมกันพัฒนาขึ้นนี้มีกลุ่มเป้าหมายคือองค์กรธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่ ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า

ด้านการบริการและการสนับสนุนการขายซิสโก้ เน็ตแอพ และวีเอ็มแวร์ จะร่วมกันให้บริการโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มที่ และช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายสามารถปรับใช้สถาปัตยกรรม Secure Multi-Tenancy Design Architecture สำหรับภาพแวดล้อมที่ลูกค้ามีอยู่ในปัจจุบันด้วยความเสี่ยงน้อยที่สุด

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ซิสโก้ เน็ตแอพ และวีเอ็มแวร์จะเปิดตัวรูปแบบบริการร่วมกัน ซึ่งจะให้บริการ 24 ชม.ทั่วโลก โดยรูปแบบดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้าได้รับการตอบสนองอย่างฉับไวมากขึ้นจากผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย สำหรับการระบุและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับโซลูชันที่ใช้งานบนสถาปัตยกรรม Secure Multi-Tenancy Design Architecture จะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรให้แก่ลูกค้าเมื่อลูกค้าร้องขอบริการสนับสนุนสำหรับผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยี


อ้างอิงจาก : http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000017761

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ข่าว IT วันนี้ : ตลาดคอมพิวเตอร์ปีเสือคึกคักเล็งยอดโต15%

ผู้ค้าคอมพิวเตอร์เริ่มคึกคัก เชื่อปี 53 อัตราการเติบโตพุ่ง 15% เหตุผู้บริโภคกลับมามั่นใจจับจ่าย แถมมีเงินอัดฉีดเข้าระบบจากโครงการภาครัฐ
นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอมพิวเตอร์ปี 2553 มีทิศทางที่ดีขึ้น ผู้บริโภคจะมั่นใจจับจ่ายซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น และยังมีเทคโนโลยีใหม่ที่อินเทลเปิดตัวตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี ส่งผลให้ตลาดรวมน่าจะเติบโตถึง 15% จากปีที่แล้วแทบไม่ขยับ
อย่างไรก็ตาม พีซีจะมียอดขายคงที่ ส่วนของโน้ตบุ๊คจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 65-68% จากปี 2552 ที่โน้ตบุ๊คแซงหน้าพีซีขึ้นมีส่วนแบ่งตลาด 60% แล้ว หรือเป็นตัวเลข 1.4 ล้านเครื่อง จากปีที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์รวมทั้งตลาดมีประมาณ 2.4 ล้านเครื่อง เป็นส่วนแบ่งพีซี 40% ที่ 1 ล้านเครื่อง ในจำนวนนี้เป็นเครื่องแบรนด์ 30% เครื่องประกอบ 70%
ทั้งนี้ ความต้องการพีซียังมีผู้ใช้เป็นกลุ่มโรงเรียน ราชการ และผู้ที่ต้องการใช้งานมัลติมีเดีย เนื่องจากโน้ตบุ๊คตอบโจทย์มัลติมีเดียไม่ได้ หรือถ้าได้ราคาจะหนีไป 30-40% ซึ่งสูงเกินกว่าจะลงทุน ส่วนการใช้งานส่วนตัวจะหนีไปหาโน้ตบุ๊คมากกว่าด้วยงบประมาณระดับ 1-2 หมื่นบาทก็ซื้อได้แล้ว
"ปี 2010 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น อารมณ์การซื้อจะกลับมาใกล้ๆ กับปี 2008 ที่เคยตั้งงบ 2 หมื่นบาท แต่ซื้อจริง 2.5 หมื่นบาท ต่างจากปี 2009 ตั้งงบไว้ 2 หมื่นบาท พอซื้อจริงลดเหลือ 1.8 หมื่นบาท เอาแค่พอใช้ได้ สถานการณ์อย่างนี้แม้แต่โอเอส ไลเซ่นก็กระเทือน จากเดิมจะซื้อของแท้ ก็เลี่ยงไป ลูกค้าต่อรองไม่ต้องใส่ซอฟต์แวร์ลดได้เท่าไร" นายพรเทพ กล่าว
ส่วนของบริษัทปีที่ผ่านมามียอดรายได้รวม 3,500 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าจะเติบโต 30-40% หรือประมาณ 4,900 บาท ตลาดมีอัตราการเติบโตเท่าไร บริษัทต้องแซงตลาด 100%
ปีนี้บริษัทได้จัดโปรแกรมการตลาด และข้อมูล การส่งเสริมการขายป้อนแก่พันธมิตรทางการค้าเพื่อสร้างลอยัลตี้ โปรแกรม และส่งเสริมให้ร้านค้าตัวแทนที่เคยขายอุปกรณ์ชิ้นส่วนของอัสซุส ให้ปรับมาขายโน้ตบุ๊คเพิ่ม แต่รายใดที่ถนัดทำตลาดชิ้นส่วนอย่างเดียวก็ยังทำต่อไปได้ หากจะเพิ่มการจัดจำหน่ายสินค้าระดับบนเพิ่มด้วย
พร้อมกันนี้ บริษัทจะรุกตลาดต่างจังหวัดโดยการออกบูธ จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย และจัดฝึกอบรมอย่างจริงจัง รวมทั้งป้อนข้อมูลข่าวสารไปที่ร้านของตัวแทนโดยตรง จากเดิมบางรายอาจเข้าไม่ถึงแหล่งข้อมูล
นายภานุวัฒน์ ขันธโมลีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ผู้ผลิตโลคอลแบรนด์มีจุดแข็งที่ราชการเป็นหลัก มีขายเข้าตลาดคอนซูเมอร์บ้าง ปัจจุบันตลาดราชการมีงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งเข้ามาสร้างความคึกคักแก่ตลาด ตั้งแต่โครงการจัดหาคอมพิวเตอร์และระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อการศึกษาตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปีๆ ละเป็นหลักแสนเครื่อง มูลค่าประมาณ 3-4 พันล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่เปิดโอกาสให้โลคอลแบรนด์เข้าร่วมประมูล โดยกำหนดคุณสมบัติเครื่องเป็นมาตรฐาน มอก. มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ศาลยุติธรรม 1-2 พันเครื่อง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคประมาณ 3,500 เครื่อง มูลค่าประมาณ 120 ล้านบาท โครงการไอซีทีชุมชนเกือบ 1 หมื่นเครื่อง มูลค่าประมาณ 273 ล้านบาท เป็นต้น
"การที่ตลาดเปิดกว้างให้โลคอลแบรนด์เข้าร่วมประมูลนี้ บรรดาผู้ผลิตควรทำสินค้าให้มีคุณภาพ เพื่อความน่าเชื่อถือแก่หน่วยงานราชการต่างๆ ที่ให้โอกาส ซึ่งหากรักษาคุณภาพได้ และสร้างผลิตภัณฑ์ให้ได้รับ มอก. เป็นการรับรองการทำสินค้าคุณภาพ" เขา กล่าว
ส่วนการที่ สพฐ. เพิ่มการใช้เอกสารรับรอง CISPR22 ต้องมีมาตรฐานไอเอสโอ 17050 ซึ่งเป็นการรับรองตัวเอง เพราะเอกสารรับรอง CISPR22 เป็นการรับรองเฉพาะเครื่องที่ส่งตรวจเท่านั้น น่าจะเป็นการเพิ่มทางออกแก่ขั้นตอนการตรวจรับ เพื่อให้โรงเรียนได้ใช้สินค้าคุณภาพ
ปีที่ผ่านมา ตลาดคอมพิวเตอร์โดยรวมมีส่วนแบ่งคอนซูเมอร์ 50-60% ซึ่งตลาดหลักอยู่ในโมเดิร์นเทรด เอสเอ็มอี 30% และราชการ 15% ปีนี้ราชการจะขยับเป็น 20% โดยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเป็นอินเตอร์แบรนด์ 60% ที่เหลือเป็นโลคอลแบรนด์ 15% และดีไอวายกว่า 20%



อ้างอิงจาก :http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/it/it/20100202/98353/ตลาดคอมพิวเตอร์ปีเสือคึกคักเล็งยอดโต15.html

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ข่าว IT วันนี้เอ็นไอไอทีดันไทยชิงตำแหน่งญี่ปุ่น ศก.คลาวด์ฯเอเชีย



นายอาร์วินด์ ทาเคอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นไอไอที เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า เมื่อปลายปี 2552 บริษัทได้ร่วมมือกับฮิตาชิ อินฟอร์เมชั่น ซิสเท็มส์ นำความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท มารวมกันเพื่อเปิดให้บริการด้านคลาวด์ คอมพิวติ้ง ในเอเชีย โดยเอ็นไอไอที จะเป็นผู้รับผิดชอบด้านการบริหารจัดการระบบคลาวด์ทั้งหมด ขณะที่ฮิตาชิ เป็นเจ้าของเทคโนโลยีระบบคลาวด์

ด้านลูกค้ากลุ่มแรกที่บริษัทจะเริ่มให้บริการ คือ กลุ่มลูกค้าเก่าจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเริ่มย้ายฐานจากญี่ปุ่นมาไว้ในประเทศไทย เนื่องจากไทยมีระบบโครงสร้างพื้นฐาน และมีต้นทุนในด้านการให้บริการที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อาทิเช่น เวียดนาม สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย

"ในปี 2010 นี้ เอ็นไอไอที จะลุยตลาดการให้บริการคลาวด์ คอมพิวติ้ง อย่างเต็มที่ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐาน และได้ลงทุนสร้างศูนย์ดาต้า เซ็นเตอร์ แล้ว 2 แห่ง คือ ที่ อาคารเนชั่น บางนา และตึกเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ สาทร สำหรับให้บริการลูกค้าในประเทศแถบเอเชียโดยเฉพาะ ให้สามารถเข้ามาเช่าใช้ระบบสารสนเทศต่างๆ ได้โดยไม่ต้องลงทุนเอง เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของระบบ ให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างสะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น" นายอาร์วินด์กล่าว

ทั้งนี้ บริการด้านคลาวด์ คอมพิวติ้ง ของเอ็นไอไอที ปีนี้จะเปิดให้บริการครบวงจรทั้ง 4 ส่วน ได้แก่ 1. บริการในรูปแบบแอพพลิเคชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ตามจริง ซึ่งอาจมีทั้งบริการให้ใช้ฟรีหรือเก็บค่าบริการสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วไป 2. บริการข้อมูลด้านซอฟต์แวร์ โดยผู้ใช้บริการไม่ต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์เพียงแต่แยกใช้บริการ และเสียค่าใช้จ่ายตามจริงเท่านั้น

3. บริการในรูปแบบแพลตฟอร์ม เป็นบริการที่รองรับการทำงานของแอพพลิเคชั่นอีกทีหนึ่ง และ 4. บริการในรูปแบบโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการบริการเครื่องแม่ข่าย อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค ดิสก์สตอเรจ ฯลฯ ซึ่งเป็นการบริการที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ไอทีเป็นหลัก

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

สรุปการใช้ห้อง Micro Teaching

สรุปการใช้ห้อง Micro Teaching

1. มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย น่าสนใจ และมีความหลากหลายของอุปกรณ์
2. แต่ละกลุ่มมีสื่อที่นำมาเสนอน่าสนใจ
3. มีการบันทึกภาพขณะการนำเสนอ ทำให้เราสามรถนำจุดที่เรายังไม่ดีไปปรับปุรงได้


สิ่งที่ควรปรับปรุง

1. บางกลุ่มออกมานำเสนอแต่สื่อที่นำออกมานำเสนอบางครั้งเกิดความผิดพลาด
2. สีของตัวอักษรของบางกลุ่มอ่านออกยาก เพราะสีใกล้เคียงกลับพื้นหลัง
3. ห้องเล็กเกินไป
4. มีกล้องไม่ครบทุกมุม

นวัตกรรมละเทคโนโลยีการศึกษาที่ใช้ในห้อง Microteaching

1. Visualizer
2. Projector
3. Labtop
4. Camera
5. Bluetooth
6. ห้องกระจายเสียง


อยากให้อาจารย์พามาเรียนที่ห้องนี้บ่อยๆค่ะ
เพราะจะได้เป็นการฝึกฝนตนเองไปในตัวค่ะ

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

อินเทลรุกตลาด”สมาร์ทโฟน”


การกลับเข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟนของอินเทลเท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับ Qualcomm บริษัทผู้ผลิตชิปไร้สายที่กำลังมาแรงอยู่ในตลาดขณะนี้ นอกจากนี้ ทางอินเทลยังได้ประกาศ “app store” สำหรับเน็ต (netbook) อย่างเป็นทางการอีกด้วย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่โพรเซสเซอร์ของอินเทลครองตลาดอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ในงาน CES 2010 เริ่มมีการนำ “smartbooks” ที่ใช้ชิปของ Qualcomm เข้ามาเจาะตลาดเน็ตบุ๊กด้วยเหมือนกัน
ที่มาจาก : http://www.itday.in.th/